Subscribe

RSS Feed (xml)

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552

โป่งเดือดป่าแป๋ จังหวัดเชียงใหม่

ตื่นตาน้ำพุร้อน ที่พุ่งทะยาน จากดินสู่ฟ้า โป่งเดือดป่าแป๋เชียงใหม่
อัศจรรย์น้ำพุร้อนกีเซอร์ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยมากมายด้วยสรรพคุณเพื่อการบำบัดรักษาท่ามกลางธรรมชาติเขียวสดของหมู่ไม้โป่งเดือดป่าแป๋จึงกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายในใจของคนรักสุขภาพ

เพราะเมืองไทยมีธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์ซุกซ่อนอยู่มากมาย แม้แต่น้ำพุร้อนที่โป่งเดือดป่าแป๋ ในเขตอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นน้ำพุร้อนกีเซอร์ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ยังมอบความตื่นตา จากสายน้ำพวยพุ่งจากระดับผิวดินเป็นครั้งคราวตลอดเวลา ตามแรงดันใต้ผิวดิน ถ้าเทียบกับบ่อน้ำพุร้อนที่เป็นเพียงน้ำผุดขึ้นมาเท่านั้นนับว่าโป่งเดือดป่าแป๋ อลังการกว่ากันมากนัก ทั้งยังมีสรรพคุณช่วยบำบัดรักษาโรคปวดตามข้อได้ดีอีกด้วย ในอดีตน้ำพุร้อนจากที่แห่งนี้ พวยพุ่งจากพื้นดินสูงถึง2 เมตร จากบ่อใหญ่ที่สุดในบรรดา3 บ่อที่มีอยู่ ทุกๆ30 วินาที คุณจะได้พบน้ำพุร้อนอุณหภูมิสูงถึง99 องศาเซลเซียส ที่ทะยานขึ้นจากดินสู่ฟ้า ราวกับโชว์ อันตระการตาจากธรรมชาติที่กำนัลสู่มนุษย์ และเพื่อให้ผู้มาเยือนได้รับคุณประโยชน์จากน้ำพุร้อนกันเต็มอิ่ม จึงมีการสร้างห้องอาบน้ำโดยน้ำร้อนจากโป่งเดือดส่งผ่านเข้ามาทางท่อที่เชื่อมต่อกับน้ำพุร้อนว่ากันว่า...ด้วยแร่ธาตุที่มีในน้ำพุร้อนนั้นจะช่วยบำรุงรักษาผิวพรรณได้ดี
อร่อยประจำถิ่น
• ที่อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง มีร้านอาหารสวัสดิการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มบริการนักท่องเที่ยวในราคาสบายกระเป๋า

รู้ก่อนเดินทาง
• หากเดินทางมาเยือนในฤดูหนาวแนะว่าควรกางเต๊นท์ พักแรมณอุทยานฯเพื่อดื่มด่ำทะเลหมอกยามเช้าติดต่ออุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดังโทร.053471669

อ้างอิงจาก102ท่องเที่ยวออกรส Scb.co.th

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ประวัติศาสตร์ของไทย


ประเทศไทย หรือประเทศสยาม
คนไทยนั้นไม่เคยเรียกตนเองว่า "สยาม" เลย นอกจากจะเรียกว่า "ไทย" แต่ชาวต่างชาตินิยมเรียกประเทศไทยว่า สยาม (Siam) และเรียกคนไทยว่า "ไซมีส" (Siamese) สำหรับลำดับการเรียกชื่อประเทศในสังคมไทยนั้น พอจะสรุปได้ ดังต่อไปนี้ คือ

1.

เดิมทีคนไทยเรียกชื่อประเทศโดยใช้ชื่อเมืองหลวงเป็นชื่อประเทศ เช่น กรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา จนถึง กรุงรัตนโกสินทร์


2.

ในสมัยรัชกาลที่ 3 ขณะที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทำหนังสือสัญญากับต่างประเทศ ได้เรียกชื่อประเทศว่า กรุงศรีอยุธยา


3.

ในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแยกชื่อเมืองหลวงออกจากชื่อประเทศ ตามแบบตะวันตก คือ เรียกประเทศว่า "สยาม" โดยได้ทรงลงพระปรมาภิไธยว่า Rex Siamensis


4.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรปี พ.ศ. 2475 ใช้ชื่อว่ารัฐรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม และมาตรา 1 ระบุว่า "ประเทศสยามเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกไม่ได้"


5.

พ.ศ. 2480-2481 ในสัญญาทางพระราชไมตรีการพาณิชย์ การเดินเรือกับต่างประเทศใช้คำว่า "ประเทศสยาม" "ราชอาณาจักรสยาม" "รัฐบาลสยาม" แต่เมื่อกล่าวถึงภาษาใช้คำว่า "ภาษาไทย" และมีบางแห่งใช้ไทยและสยามปน ๆ กันไป


6.

พ.ศ. 2482 ในสมัยจอมพลหลวงพิบูลสงคราม มีการประกาศใช้ประกาศรัฐนิยม ฉบับที่ 1 ให้ใช้ชื่อ ประเทศ ประชาชน และสัญชาติว่า "ไทย"


7.

รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยนามของประเทศปีพุทธ ศักราช 2482 เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2482 โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้บัญญัติไว้ในมาตรา 3 ว่า ให้เรียกชื่อประเทศว่า "ประเทศไทย" และบทรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายอื่นที่ใช้คำว่า "สยาม" ให้ใช้คำว่า "ไทย" แทน จึงเท่ากับเป็นการฆ่าคำว่า "สยาม" ให้ตายไปโดยสิ้นเชิง นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจะต้องเรียกคนไทยว่า "ไทย" (Thai) และเรียกชื่อประเทศว่า ประเทศไทย (Thailand) ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น


8.

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง รัฐบาลของนายทวี บุณยเกตุ ประกาศใช้ชื่อประเทศไทยใน ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสว่า "Siam" ชื่อประเทศไทยและภาษาไทยว่า "ประเทศไทย" ส่วนสัญชาติ ผู้ถือหนังสือเดินทางเขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า "Siamois" ในขณะเดียวกันนั้น ประเทศอังกฤษได้ขอตั้งเงื่อนไขขอเรียกชื่อประเทศไทยว่า "ประเทศสยาม" ซึ่งรัฐบาลไทยก็มิได้ขัดข้องประการใด จึงดูเหมือนว่าชาวต่างประเทศจะเรียก สยาม ก็ได้ ไทย ก็ได้


9.

เมื่อเกิดรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 นายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรี คงเรียกประเทศว่า "ประเทศไทย" ส่วนการเรียกในภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสให้เรียก "Siam"


10.

เมษายน พ.ศ. 2491 เมื่อจอมพลหลวงพิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีแทนนายควง อภัยวงศ์ รัฐบาลกลับเปลี่ยนชื่อประเทศไทยในภาษาอังกฤษว่า "Thailand" และฝรั่งเศสว่า "Thailande" ซึ่งคงใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้


11.

รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 ได้เขียนลงไว้ว่า "ประเทศไทย"


12.

พ.ศ. 2511 สภาร่างรัฐธรรมนูญมีการอภิปรายเปลี่ยนชื่อจาก "ไทย" เป็น "สยาม" แต่สมาชิกส่วนมากไม่ยอมรับ


13.

พ.ศ. 2517 สภาร่างรัฐธรรมนูญได้อภิปรายในเรื่องเดียวกันนี้ แต่สมาชิกส่วนมากไม่ยอมรับเช่นกัน

ประเทศไทย หรือ ราชอาณาจักรไทย เป็นรัฐที่ตั้งอยู่บนคาบสมุทรอินโดจีน ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพรมแดนทางทิศตะวันออกติดประเทศลาวและประเทศกัมพูชา ทิศใต้ติดอ่าวไทย และประเทศมาเลเซีย ทิศตะวันตกติดทะเลอันดามันและประเทศพม่า และทิศเหนือติดกับประเทศพม่า และประเทศลาว โดยมีแม่น้ำโขงกั้นเป็นบางช่วง มีศูนย์กลางการบริหารราชการแผ่นดินอยู่ที่ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ ซึ่งได้รับสถิติโลกเป็นเมืองหลวงที่มีชื่อเต็มที่ยาวที่สุดในโลก คือ "กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์"

ประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตยและราชาธิปไตย ประมุขแห่งรัฐพระองค์ปัจจุบันคือพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แห่งราชวงศ์จักรี ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐที่นานที่สุดในโลก

ประเทศไทยมีประชากรกว่า 63 ล้านคน อันประกอบด้วยเชื้อสายไทย กว่า 80% ชาวจีน 10% ชาวมาเลย์อีก 3% นอกจากนั้นยังมีชาวเขาเผ่าต่างๆ มีภาษาราชการ คือ ภาษาไทย พลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศนับถือศาสนาพุทธ จึงได้วัฒนธรรมของไทยที่เป็นที่น่าประทับใจของแขกผู้มาเยือน เช่น การให้ความเคารพผู้สูงอายุ และที่สำคัญ คือ ความเป็นมิตรและการรับรองแขกผู้มาเยือน จนได้รับสมญานามว่าเป็น "สยามเมืองยิ้ม"

ประเทศไทยนับได้ว่าเป็นประเทศเดียว ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจจากยุโรปเลย

หมู่เกาะสิมิลัน จังหวัดพังงา


ดื่มด่ำกับความรู้สึกท่ามกลางแสงทองสุดท้ายที่อาบพราวระยิบของท้องทะเลอันดามัน

ณ จุดสูงสุดของยอดเกาะสี่สิมิลัน เกาะสวรรค์ กับความงามที่ไม่เคยสูญสิ้นไปตามกาลเวลา บนหาดทรายขาวที่ทอดตัวยาวสู่กลางทะเลสีฟ้าใส ปล่อยให้กลิ่นอายของความสุขคลุกเคล้าไป กับสายลมบรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้นได้ที่หมู่เกาะสิมิลันจังหวัดพังงา หมู่เกาะที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีปะการังน้ำลึกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง ในประเทศไทย สิมิลันเป็นภาษายาวี แปลว่าเก้าหมายถึงหมู่เกาะทั้งเก้า ที่เรียงตัวอยู่ด้วยกันกลางทะเลอันดามันแห่งนี้ และมีน้องใหม่คือ เกาะตาชัยและเกาะบอน ที่เพิ่งเข้าเป็นสมาชิกของหมู่เกาะสิมิลัน เมื่อไม่นานไม่ใช่แค่ความงามบนพื้นดินบนผิวน้ำที่มองเห็น และสัมผัสได้ด้วยตาเปล่าก็ใสราวกับกระจก และงดงามอย่างน่าอัศจรรย์ความสมบูรณ์ของปะการัง และสัตว์น้ำใต้ท้องทะเลของสิมิลันยังเป็นที่เลื่องชื่อลือชา ในหมู่นักดำน้ำทั่วโลกว่าต้องมาดูให้เห็นกับตาสักครั้ง ยามบ่ายคล้อยกิจกรรมที่น่าสนใจที่สุด คือการได้ไปนั่งทอดอารมณ์ทบทวนความคิดความรู้สึก อาบแสงทองชมพู และชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ณ จุดชมวิวจุดสุดท้ายของแผ่นดินไทยที่จะได้เห็น พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าบนเกาะสี่ ของสิมิลันหรือถ้าอยู่ที่เกาะแปด ก็ให้ปีนขึ้นไปบนหินเรือใบ จะได้เห็นภาพหมู่เกาะน้อยใหญ่ และทะเลอันดามันไกลสุดลูกหูลูกตาทั่วอณูของท้องฟ้ากว้าง ทั่วขอบเขตของท้องทะเลไทย ถึงแม้จะเต็มไปด้วยการอำลาอาลัย แต่นั่นคือสัญญาณของการเริ่มต้นใหม่ที่กำลังจะตามมาอร่อยประจำถิ่น
• บนเกาะสี่และเกาะแปดมีร้านอาหารสวัสดิการคอยบริการตั้งแต่เวลา08.00-20.00น.ทุกวันถ้าให้ดีลองชิมอาหารพื้นเมืองทางใต้เช่นแกงส้ม(แกงเหลือง)กับไข่เจียวรับรองจะติดใจ

รู้ก่อนเดินทาง
• ปิดเกาะตั้งแต่วันที่16พฤษภาคม-15พฤศจิกายนของทุกปี แต่หากมีมรสุมเข้าก่อนกำหนด ทางอุทยานจะประกาศปิดเกาะก่อนขอให้ตรวจเช็คอีกครั้ง โทร.075629018-9หรือโทร.02-5620760

• เกาะที่สามารถพักค้างแรมได้ คือเกาะสี่ และเกาะแปดจะมีบ้านพักเต๊นท์ และร้านค้าสวัสดิการไว้บริการ

หาดไร่เล จังหวัดกระบี่


เงาจันทร์เสียงแผ่วเบาของสายลมราวกับเป็นคำสัญญาว่าความงดงามเช่นนี้จะอยู่คู่หาดไร่เลตลอดไป

ณ หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆแห่งหนึ่ง ในตำบลอ่าวนางจังหวัดกระบี่ ล้อมรอบด้วยธรรมชาติภูเขาหินปูน และผาสูงชันทำให้การเดินทางมาหมู่บ้านนี้ ต้องอาศัยการนั่งเรือเพียงอย่างเดียว หมู่บ้านนี้มีหาดทรายสวยงามเนื้อละเอียดชื่อ หาดไร่เลซึ่งยังไม่เป็นที่คุ้นหูกับคนไทยนัก แต่หารู้ไม่ว่าที่นี่ เป็นที่ที่หลายคนอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลจากแดนไกล เพื่อจะบันทึกความทรงจำว่าครั้งหนึ่ง เคยได้สัมผัสบรรยากาศโรแมนติก ชมจันทร์สวยปีนหน้าผาสูงที่อ่าวไร่เล ที่นี่น้ำทะเลสีมรกตเวิ้งหาดทรายเนียนนุ่มของไร่เล โค้งตัวยาวไปตามแนวเขายามบ่ายนั่งเรือโทง เรือประมงท้องถิ่น ที่ชาวบ้านชาวเลพร้อมใจกันอนุรักษ์ไว้ ไปเที่ยวถ้ำพระนางอนุสรณ์ตำนานรักระหว่างหญิงสาว และพญานาค หรือจะแค่นอนแช่น้ำทะเลสีฟ้าใสก็สุขใจ พอกันหากใคร ที่ชอบแนวผจญภัยไร่เลโด่งดังมาก ในเรื่องกิจกรรมปีนหน้าผามีทีมงานฝีมืออาชีพ คอยดูแลเย็นย่ำค่ำลงบรรยากาศ ที่หาดไร่เลงดงามยิ่งนัก โดยเฉพาะคืนจันทร์เต็มดวงแสงสีหวานของพระจันทร์ จะอาบไล้ผิวนวล ของท้องทะเลกว้างสะท้อนให้เห็นภาพดวงจันทร์สองดวงอยู่คู่กัน เป็นความงดงามและความโรแมนติก ที่ยังคงอยู่คู่หมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ตลอดไป

อร่อยประจำถิ่น
• ที่อ่าวนางทานอาหารทะเลสดๆที่ร้าน"วังทราย"เมนูเด็ด ที่พลาดไม่ได้คือหอยชักตีนกุ้งเผาเนยปลาหมึกย่าง

• ไปถึงกระบี่ต้องลองหอยชักตีน ลวกสดๆจิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ด หรือน้ำพริกกุ้งเสียบ แกงส้มปักษ์ใต้ แกล้มด้วยผักเหลียงผัดไข่ เข้าร้านไหนถามหาได้เลยรับรองไม่ผิดหวัง

รู้ก่อนเดินทาง
• ควรหาโอกาสเช่าเรือออกไปเที่ยวตามเกาะต่างๆเช่นเกาะไก่เกาะทัพเกาะห้องเกาะปอดะทะเลแหวกซึ่งสามารถไปได้ทุกที่ในวันเดียวจะพายเรือแคนนูหรือเรือคายัคที่อ่าวท่าเลนลัดเลาะไปตามชายป่าโกงกางหรือรอบหมู่เกาะห้องกิจกรรมปีนเขาที่ไร่เลใครไปใครมาต้องหาโอกาสไปลองซักครั้ง

• ช่วงฤดูท่องเที่ยวของไร่เลจะเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายน - กลางเดือนพฤษภาคม เดินทางจากได้สะดวกจาก
อ่าวนาง

• ช่วงฤดูมรสุมกลางเดือนพฤษภาคม-ตุลาคมให้เดินทางจากอ่าวน้ำเมา

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม


บนสายน้ำในคืนเดือนมืดหิ่งห้อยตัวน้อยๆ ค่อยๆส่องแสงกระพริบระยิบระยับ เป็นจังหวะเต็มต้นลำพู และเป็นที่มาของนิทานหิ่งห้อยที่ใช้กล่อมเด็กตัวน้อยๆให้นอนหลับฝันดี
ภาพในอดีตสมัยคุณตาคุณยายยังเด็ก ที่บ้านสวนริมคลองเด็กๆกระโดดลงน้ำวิ่งไล่จับกัน ตามท้องร่องในสวนมะพร้าวพ่อค้าแม่ขายยังต้องใช้เรือแจวเป็นพาหนะ ถึงเวลาย่ำค่ำแต่ละบ้านจุดตะเกียงน้ำมันส่องแสง วอมแวมล้อมวงกินข้าว อิ่มแล้วก็เอนกายที่ศาลาริมน้ำ เด็กๆนอนฟังนิทานหิ่งห้อย ที่เล่าต่อๆกันมาว่าเป็นวิญญาณของชายหนุ่ม ถือโคมไฟเที่ยวตามหาหญิงคนรักที่ชื่อลำพู ภาพเหล่านี้ยังมีให้เห็นที่อัมพวา เรือนไม้เรียงแถวอยู่ริมตลิ่ง ชีวิตที่เรียบง่ายในแบบวิถีไทย อบอวลให้เห็นตลอดสองฟากฝั่ง ยามเย็นของวันศุกร์-เสาร์ และอาทิตย์ที่ตลาดคลองอัมพวา จะคลาคล่ำไปด้วยพ่อค้า แม่ค้าที่พายเรือเอาผักผลไม้สดๆ จากสวนมาขาย อีกทั้งเครื่องดื่มขนมหวานของคาวหลากชนิด ไม่ว่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือ หอยทอด ปลาหมึกย่าง กาแฟโบราณ และอื่นๆอีกมากมาย พออิ่มหนำสำราญปล่อยเวลาไปกับ การเดินลัดเลาะชมเรือนแถวไม้ ที่ยังคงสภาพแบบโบราณไว้ทั้งป้ายชื่อร้านรวง มีให้เห็นตลอดสองฝั่งเมื่อแสงแรกแห่งราตรีมาถึง ลงเรือแจวลำน้อยล่องไปช้าๆท่ามกลางความเงียบสงบ ไม่นานจะได้พบสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆค่อยๆปล่อยแสง ระยิบระยับ วิบวับทั่วป่าลำพู บรรยากาศยามค่ำกับสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ทำให้คลองอัมพวาในค่ำคืน ที่มืดมิดมีความงดงาม และโรแมนติกอย่าบอกใคร
อร่อยประจำถิ่น
• จากทางแยกเลี้ยวเข้าตลาดน้ำ ให้ตรงข้ามไฟแดงไปแล้วข้ามสะพานไปอีก ประมาณ500เมตรสังเกต วัดลังกาทางขวามือ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยตรงข้ามวัดปากซอย มีศาลารอรถโดยสารตรงเข้าไปประมาณ500เมตร ร้านจะอยู่ริมคลองตรงเชิงสะพาน ด้านซ้ายมือเป็นร้านอาหารตามสั่ง ไม่มีชื่อร้านอาหารเด็ด คือผัดกระเพรากุ้งกะตอม ที่ตกสดๆจากหน้าร้านหมี่กรอบโบราณ ราดหน้าเส้นใหญ่ ที่ผัดเส้นได้นิ่มมาก

• ร้านเพื่อนอยู่ริมคลอง ในซอยวัดลังกาอาหารเด็ด คือ กุ้งแม่น้ำเผากุ้งตัวเท่าแขน เป็นกุ้งที่ชาวบ้านตกสดๆแล้วมาขาย ให้ที่ร้านปลาสำลีแดดเดียวยำถั่วพู

รู้ก่อนเดินทาง
• หิ่งห้อยมีมาก ในฤดูฝนควรไปชมในคืนเดือนมืด หรือคืนข้างแรม และในวันที่น้ำขึ้น จะเห็นหิ่งห้อยชัดเจน
• ตลาดน้ำอัมพวา เป็นตลาดน้ำยามเย็นแห่งเดียวในประเทศไทย มีเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ เท่านั้น วันศุกร์ตลาดเริ่มตั้งแต่ ประมาณ3โมงเย็น ส่วนเสาร์-อาทิตย์ เริ่มตั้งแต่เที่ยงเป็นต้นไป

พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน จังหวัดเพชรบุรี


หากคำว่า"รัก"แทนความยิ่งใหญ่ของหัวใจใครสักคนพระราชนิเวศน์แห่งนี้คงเปรียบเสมือน"ดวงใจ"ที่มีความหมายของคำว่ารักชั่วนิรันดร์
ย้อนอดีตไปเมื่อพ.ศ.2466พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสร้างพระราชนิเวศน์มฤคทายวันแห่งนี้เนื่องเพราะเป็นสถานที่ ทรงอภิบาลพระมเหสีด้วยความรัก และมีความหวังที่จะทรงมีพระปิโยรส ไว้สืบสันตติวงศ์ ดังนั้นพระราชนิเวศน์มฤคทายวันจึงเป็นสถานที่แห่งความรัก ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวและได้รับการขนานนามว่า พระราชนิเวศน์แห่งความรักและความหวัง ห่างจากหาดชะอำประมาณ10กิโลเมตรไปทางใต้ จังหวัดเพชรบุรีท่ามกลางธรรมชาติอันสงบรื่นรมย์แวดล้อมไปด้วยพรรณไม้ร่มรื่นเกลียวคลื่น และหาดทรายขาวสะอาดตาคือที่ตั้งของพระราชวังฤดูร้อนไม้สักทองแห่งแรก และแห่งเดียวของโลกสถาปัตยกรรมของทุกห้องโปร่งโล่งโทนสีหวาน สะดุดตามีหน้าต่างเปิดรับลมทะเลได้อย่างชื่นใจและที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใด ทุกๆย่างก้าวที่ย่ำอยู่บนผืนทรายในเขตพระราชวังจะรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยน และโรแมนติกอบอวลอยู่รอบกาย แม้เวลาจะผ่านล่วงเลยนานสักเพียงใดการที่ได้มาเยือนพระราชวังแห่งนี้ ก็ยังคงความหวาน และนุ่มนวลตลอดเวลา และจะเป็นพระราชวังที่มีภาพความหลังที่งดงามอยู่ในหัวใจคนไทยตลอดไป
อร่อยประจำถิ่น
• "ร้านป้าฮีด"ตั้งอยู่บริเวณสะพานปลาชายหาดชะอำโด่งดังในเรื่องอาหารทะเลสดไม่ว่าจะเป็นปูปลาหมึกกุ้งปลาทะเลส่วนใครที่ยังติดกับอาหารรสแซ่บถึงใจแวะทานข้าวเหนียวไก่ย่างส้มตำรสจัดได้ที่
"ร้านส้มตำร.ฟ.ท.(รถไฟไทย)"อยู่บนถนนเพชรเกษมขาลงใต้ห่างจากBigCไปประมาณสามร้อยเมตรด้านซ้ายมือ

รู้ก่อนเดินทาง
• ใครที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศจาก "เดินชมวัง" เป็น"ขี่จักรยานชมวัง" ก็ขอเช่าจักรยานได้จากเจ้าหน้าที่รับรองว่าจะได้บรรยากาศสนุกสนานและเพลิดเพลินไปอีกแบบ
• ต้องแต่งกายให้สุภาพในการเข้าเยี่ยมชมหากแต่งกายไม่ถูกต้องตามระเบียบ เจ้าหน้าที่จะมีเสื้อและผ้านุ่งให้สวมทับ

คำขวัญ 14จังหวัด ภาคใต้

ภาคใต้

ชุมพร (ชพ.)

"ประตูภาคใต้ ไหว้เสด็จในกรมฯ ชมไร่กาแฟ แลหาดทรายรี ดีกล้วยเล็บมือ ขึ้นชื่อรังนก"

ระนอง (รน.)

"คอคอดกระ ภูเขาหญ้า กาหยูหวาน ธารน้ำแร่ มุกแท้เมืองระนอง"

สุราษฎร์ธานี (สฎ.)

"เมืองร้อยเกาะ เงาะอร่อย หอยใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะ"

นครศรีธรรมราช (นศ.)

"เราชาวนคร อยู่เมืองพระ มั่นอยู่ในสัจจะศีลธรรม กอรปกรรมดี มีมานะพากเพียร
ไม่เบียดเบียนทำอันตรายผู้ใด"

พังงา (พง.)

"แร่หมื่นล้าน บ้านกลางน้ำ ถ้ำงามตา ภูผาแปลก แมกไม้จำปูน บริบรูณ์ด้วยทรัพยากร"

กระบี่ (กบ.)

"กระบี่เมืองน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก"

ภูเก็ต (ภก.)

"ไข่มุกอันดามัน สวรรค์เมืองใต้ หาดทรายสีทอง สองวีรสตรี บารมีหลวงพ่อแช่ม"

พัทลุง (พท.)

"เมืองหนังโนราห์ อู่นาข้าว พราวน้ำตก แหล่งนกน้ำ ทะเลสาปงาม เขาอกทะลุ น้ำพุร้อน"

ตรัง (ตง.)

"เมืองพระยารัษฎา ปวงประชาใจกว้าง หมูย่างรสเลิศ ถิ่นกำเนิดยางพารา เด่นสง่าดอกศรีตรัง
ปะการังใต้ทะเล เสน่ห์หาดทรายงาม น้ำตกสวยตระการตา"

สงขลา (สข.)

"นกน้ำเพลินตา สมิหราเพลินใจ เมืองใหญ่สองทะเล เสน่ห์สะพานป๋า ศูนย์การค้าแดนใต้"

สตูล (สต.)

"สตูล สงบ สะอาด ธรรมชาติบริสุทธิ์"

ปัตตานี (ปต.)

"บูดูสะอาด หาดทรายสวย รวยน้ำตก นกเขาดี ลูกหยีอร่อย หอยแครงสด"

ยะลา (ยล.)

"ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน"

นราธิวาส (นธ.)

ทักษิณราชตำหนัก ชนรักศาสนา นราทัศน์เพลินตา บาโจตรึงใจ แหล่งใหญ่แร่ทอง ลองกองหอมหวาน"